วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

บทเรียนจากการ DNF

DNF คือ Did not finish

อันเนื่องมาจากวันนี้ไปลงแข่ง Bangsaen42 ซึ่งเป็นการวิ่งมาราธอนครั้งแรก แต่เราไม่จบการแข่งขัน เลยอยากจะเล่าข้อดีของเหตุการณ์นี้ให้ฟัง

- ได้กลับมาทบทวนตัวเอง คือว่า การวิ่งไม่จบมันก็มีหลายๆ เหตุผลประกอบกัน แต่สำหรับเราสาเหตุหลักมาจากตัวเราเองนี่แหละ ซ้อมไม่ถึง คือรู้ตัวนะว่า 25 โลเราไปได้ เพราะเราเคยทำได้มาแล้ว แต่หลังจากนั้นคือใช้ใจล้วนๆ หลังจากนี้ถ้าวิ่งฟูลมาราธอนอีกก็ต้องฝึกซ้อมให้มากกว่านี้ 

- ปีศาจที่ กม. 35 ในฐานะนักวิ่ง ฟังเขาพูดมาเยอะเรื่องกำแพงนี้ แต่เราขอเรียกมันว่าปีศาจ เพราะมันปีศาจในหัวที่ตีกันจนวุ่นไปหมด ไปต่อดีมั้ย ยอมแพ้เถอะ ฝืนอีกนิดก็ยังได้นี่ อีกนิดเดียวเองแค่นี้จะยอมแพ้เหรอ ไหนว่าจะเอาเหรียญดาวตกไง คำพูดพวกนี้มันตีกันในหัวจนถึงวินาทีที่รับสภาพแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะจบตามเวลาที่ผู้จัดกำหนดเราถึงกับน้ำตาตกเลยนะ หลายคนอาจคิดแค่วิ่งรอบไม่จบรอบหน้าเอาใหม่ก็ได้ ถูกของคุณ แต่วินาทีของความผิดหวังเนี่ยใครๆ ก็เสียใจ อยู่ที่ว่าคุณยอมรับมันเร็วแค่ไหน

- แพ้ให้เป็น แต่ลุกให้เร็ว ถามว่าวันนี้เราแพ้มั้ย ใช่ เราแพ้ เราแพ้เพราะเราเตรียมตัวมาไม่ดีเอง แต่เราแพ้ให้ใคร ก็ตัวเราเองอีกนั่นแหละ เราแพ้ให้เป้าหมายของตัวเอง ถ้าเรามัวแต่เสียใจเราก็ไปต่อไม่ได้ แต่พอยอมรับมันเราก็จะมีเวลาพิจารณาว่าเราต้องแก้ไขตรงไหน  แล้วค่อยมาแก้มือใหม่โอกาสหน้า ไม่ใช่แพ้แล้วเสียใจแล้วมาโทษสภาพแวดล้อมโดยไม่ดูความสิ่งตัวเองทำเลย

- ถึงจะไม่จบแต่มันก็เป็นสถิติใหม่ในชีวิต สำหรับเราที่ซ้อมแล้วแต่ไปไม่ถึง 30 กิโลเมตรเสียที การที่ต้องจบการแข่งขันโดยที่ทำระยะไปเกือบๆ 37 กิโลเมตร มันก็เป็นความสำเร็จนะ อย่างน้อยตอนนี้ระยะทางไกลที่สุดที่เราเคยไปถึงมันก็เพิ่มขึ้น ในความพ่ายแพ้มันยังอะไรซ่อนอยู่อีกเยอะเลย

-อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่ดีสำหรับร่างกายเราที่ได้ทำในวันนี้คือการประมาณตน เราไม่ได้ฝืนวิ่งเร็วจนเกินไปจนเราบาดเจ็บเพิ่มเติม สภาพหลังแข่งเป็นเพียงความเมื่อยล้าจากการใช้ร่างกายเกินขึดจำกัด+พักผ่อนไม่เพียงพอเท่านั้น  ดีกว่าหลายๆ คนที่เจ็บจนต้องหยุดวิ่งไปเพียงเพราะการฝืนและไม่ประมาณตน

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ถ้าเราวิ่งจบเราคงไม่ใส่ใจมันเท่าไหร่ การวิ่งจบมันจะปลดล็อกเรื่องในใจอย่างหนึ่งว่ายากแบบนี้ฉันก็ทำได้ แต่ความจริงมันทำไม่ได้ตามนั้นเราก็ต้องมองหาข้อดีของสิ่งเหล่านั้นให้เจอและดำเนินชีวิตต่อไปอย่างดีที่สุด #เพราะทุกเรื่องเป็นบทเรียน #my1stmarathon #bangsaen42

วันอังคารที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2560

What is my passion???

เชื่อว่าหลายคนมีคำถามนี้อยู่ในใจ เกิดมาทำไม มีชีวิตเพื่ออะไร อะไรคือสิ่งที่ฉันชอบและรักที่จะทำ ซึ่งบอกได้เลยว่า "ไม่แปลก" เพราะสภาพสังคมในปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง การเลี้ยงดูที่ไม่เคยให้เด็กคิดด้วยตนเอง คนในสังคมได้แต่ทำอะไรตามๆ กันโดยไม่รู้ว่ามันดีกับเรายังไง รู้แค่ว่าคนอื่นบอกว่าดีก็ทำ  เวลาในแต่ละวันก็หมดไปกับสิ่งเร้ารอบตัวไม่เคยได้มีเวลามานั่งพิจารณาเรื่องเหล่านี้  หลายคนก็มีชีวิตเพื่อใช้ให้หมดไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าหา "Passion" หาเป้าหมายในชีวิตว่าเราเกิดมาทำไมไม่เจอนั่นเอง

แบบนี้จะหามันเจอได้ยังไงล่ะ??

คำตอบง่ายมากๆ ทำมันทุกอย่าง ลองไปเรื่อยๆ จนเจอสิ่งที่ใช่ ถ้ามาถามบลูมตอนนี้นะว่าอะไรที่ชอบที่สุด(ยังไม่แน่ใจว่ามันคือ passion รึเปล่าเหมือนกันนะ) ก็คงตอบแบบคิดไม่นานว่าคือการออกกำลังกายนี่แหละ ทำแล้วมีความสุขที่สุด นอกเหนือไปจากการอยู่ร่วมกับครอบครัว ซึ่งการรับรู้ตรงนี้อ่ะมันไม่ได้รู้ด้วยตัวเองด้วยนะ มีโอกาสไปเรียนคลาสนึง อาจารย์ก็เราถามว่า "รู้ไหมว่าเรามีความสุขที่สุดตอนไหน" ก็ตอบไปว่าตอนที่มาเรียนกับอาจารย์ค่ะ รู้สึกว่าได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น ทุกคนที่มาเรียนก็เป็นครอบครัว แต่อาจารย์กลับตอบว่าไม่ใช่ ท่านบอกว่า อาจารย์เห็นรูปบลูมตอนไปวิ่ง นั่นเป็นรอยยิ้มที่มีความสุขที่สุดที่ท่านเห็น พี่สาวอีกคนที่ได้เรียนด้วยกันก็พูดเหมือนกับอาจารย์  จากจุดนั้น เลยได้มาทบทวนตัวเองว่าอะไรกันแน่ที่เราทำแล้วมีความสุข วันสุดท้ายของคลาสนั้นก็พูดเป้าหมายไปว่า "ปีนี้จะไปแข่งไตรกีฬาค่ะ" ในใจก็ไม่รู้หรอกว่าจะไปแข่งยังไง ซ้อมยังไง รู้แค่ว่าปีนี้จะไปแข่งให้ได้แค่นั้น ซึ่งเดือนถัดมาเราก็ได้รับโอกาสที่แสนพิเศษที่จะเล่าให้ฟังในวันถัดๆ ไป   คือแบบนี้ พอมันเห็นชัดแล้วว่าอะไรที่เราชอบ เราจะตั้งเป้าหมายได้ง่ายขึ้น เห็นเป้ามันชัดขึ้นและลงมือทำได้ง่ายขึ้นด้วย

สำหรับคนที่ยังหา Passion ของตัวเองไม่เจอ ขอให้คุณอย่าท้อที่จะหามัน ถ้าไม่แน่ใจว่ามันใข่รึเปล่า ลองถามคนรอบข้างตัวคุณก็ได้ว่าเขาเห็นคุณมีความสุขที่สุดตอนไหน หรือจะลองใช้แผนผังมาช่วยก็ดีนะ อย่างเช่นแผนผังอิคิไกของญี่ปุ่นในรูปก็ดี เดี๋ยวขอไปศึกษาเรื่องอิคิไกเพิ่ม คราวหน้าจะเขียนเรื่องนี้อีกรอบ

วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560

"กลัว" และ "กล้า" ไปพร้อมกัน

ณ ขณะที่เขียนนี้ เป็นช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ระหว่างความกล้ากับความกลัวอย่างแท้จริง มันคือ "กล้า" ที่จะลงมือทำ และ "กลัว" ที่จะล้มเหลว สองความรู้สึกตีกันจนคิดว่าเขียนออกมาคงเข้าใจมันได้ดีขึ้น

วันพรุ่งนี้เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ สำหรับคนอื่นก็เป็นวันหยุดที่จะได้พักผ่อนอย่างสบายใจ แต่สำหรับคนที่มีเป้าหมายคือ "มาราธอน" อย่างฉัน  วันหยุดทีไรมันคือความท้าทาย ในทุกๆ วันที่วันแข่งขันใกล้เข้ามา การฝึกซ้อมในแต่ละวัน มันชวนให้ตื่นเต้นจริงๆ ซึ่งมันก็จะตื่นเต้นมากๆ หน่อยสำหรับการวิ่งยาวประจำสัปดาห์  ยิ่งกับฉันที่เป็นพวกวินัยค่อนข้างแย่บวกกับทักษะทางร่างกายที่ต่ำกว่ามาตรฐานด้วยแล้ว การวิ่งยาวที่เพิ่มระยะขึ้นทุกสัปดาห์แถมยังเป็นระยะที่ไกลที่สุดในชีวิตทุกๆ สัปดาห์  ประสบการณ์ในสัปดาห์ที่ผ่านๆ มามันก็ทำให้กลัวเหลือเกินที่มันจะไม่ตามคาด สำหรับวันพรุ่งนี้ฉันตั้งใจไว้ตอนแรกว่าจะวิ่ง 32 กิโลเมตร เพื่อจะไประยะไกลสุดของการซ้อมในสัปดาห์หน้าที่ 35 กิโลเมตร แต่เห็นเพื่อนๆ หลายคนวิ่งระยะ 35 กิโลเมตรในสัปดาห์นี้ใจมันก็อยากจะวิ่งเสียพรุ่งนี้เลย ซึ่งถ้าจะวิ่ง 35 กิโลเมตรฉันต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 ชั่วโมงในการวิ่งให้ครบ และนี่แหละคือสิ่งที่ฉัน "กลัว"

"กลัว" ว่าจะไม่ตื่นไปวิ่ง
"กลัว" ว่าจะวิ่งไม่ครบ
"กลัว" ว่าจะเจ็บ
"กลัว" ว่าตัวเองจะทำไม่ได้

แต่ทุกคนที่ผ่านจุดนั้นล้วนแต่มีความกลัวด้วยกันทั้งสิ้น  เพียงแต่พวกเขามี "ความกล้า" ที่จะทำมากกว่าจนสามารถก้าวข้าม "ความกลัว" ตรงนั้นไปได้และลงมือทำต่อจนสำเร็จ

ขอให้ทุกคนก้าวข้ามความกลัวในจิตใจของคุณและลงมือทำในสิ่งที่คุณกลัวได้สำเร็จทุกคน

Oct 14, 2017

วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Passion กับอิทธิบาท4

วันนี้จะมาเล่าเรื่อง Passion สำหรับที่ชอบอ่านหนังสือพวกจิตวิทยาพัฒนาตัวเอง หรือดูคลิปประเภทนี้ ซึ่งในปัจจุบันก็มีมากมายหลายเล่ม หลายโค้ช หลายสถาบันที่ทำออกมาให้พวกเราได้ติดตามกัน สำหรับเราเองก็มีหลายคนได้ติดตามอยู่วนๆ ไป ช่วงนี้อาจจะดูคนนี้มากหน่อย อีกช่วงก็ไปตามงานของอีกคนแทน ซึ่งหลายๆ คนที่เราติดตามในช่วงนี้หลักๆ จะเป็น ฌอน บูรณะหิรัญ และรายการที่นั่งย้อนดูบ่อยๆ จะเป็นเจาะใจ แล้วมันวนมาที่ Passion ได้ยังไง?

สิ่งที่น่าสนใจของวันนี้ที่เราก็พบคือ Passion กับอิทธิบาท4 เรื่องนี้ครูเงาะได้พูดคุยกับฌอน ในแชนแนลของฌอนเอง ใครสนใจอยากฟังเต็มๆ ลองไปหากันดู ครูเงาะได้อธิบายความหมายของอิทธิบาท4 เอาไว้ง่ายๆ จนสงสัยตัวเองว่า ทำไมตอนเรียนพระพุทธศาสนาสมัยมัธยมฯ เราถึงไม่เข้าใจมันแบบนี้จะได้เอามาปรับใช้ในชีวิตไม่ใช่ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองแล้วทำชีวิตพังอย่างที่หลายๆ คนคงเป็นเช่นเดียวกับเรา  ว่ากันสั้นๆ อิทธิบาท4 คือหลักการทำงานให้สำเร็จและมีความสุข มีทั้งหมด 4 ข้อ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เราเองจำ 4 คำนี้ได้แต่ก็ไม่เข้าใจความหมายลึกซึ้ง ที่เข้าใจมากกว่าคำอื่นก็เห็นจะเป็น วิริยะ ที่แผลงมาเป็น พิริยะ=เพียร ซึ่งส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเป็นความขยันนั่นเอง แต่ความหมายที่แท้จริงของทั้ง 4 คำมันลึกซึ้งกว่านั้นมากมายนัก
นี่คือสิ่งที่ครูเงาะอธิบายคร่าวๆ ที่เราจับใจความมาได้และเสริมความเข้าใจของตัวเองลงไป อาจจะไม่ครบถ้วนหรือคลาดเคลื่อนจากความหมายจริงๆ ไปบ้างต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ฉันทะ = Passion = รักในสิ่งที่ทำ
อันนี้ถามคนอ่านเลยนะว่าสิ่งที่คุณทำอยู่ทุกวันนี้คุณรักมันรึเปล่า? หรือแค่ทำมันเฉยๆ หลายคนคงมีคำถามกลับมาว่าแล้วจะรู้ได้ยังไงว่ารัก เราก็มีคำถามนี้เหมือนกัน เอาเป็นว่า คุณยอมได้เงินน้อยลงหรือเสียเงินเพื่อทำสิ่งนั้นรึเปล่า สำหรับเราเองคำตอบก็ยังไม่ชัดเจนนัก แต่ถ้าถามว่าอะไรที่คิดว่าใช่ที่สุด ณ ตอนนี้คือการออกกำลังกาย ไปวิ่งหยุดซ้อมวันสองวันไม่เท่าไหร่ แต่หยุดหลายๆ วันแบบที่ไม่ได้ตั้งใจหยุดเองจะเริ่มหงุดหงิดรำคาญใจ ถ้าไม่ได้วิ่งก็ต้องทำอย่างอื่น จะว่ายน้ำ เวทเทรนนิ่ง โยคะก็ได้เท่าที่เวลาเอื้ออำนวย แต่ให้หยุดเลย ไม่ทำเลย นี่ไม่ได้ ต่อให้ขี้เกียจขนาดไหนแต่หยุดสักสามวันก็ไม่ได้แล้ว

วิริยะ = ความเพียร แต่ไม่ใช่ความขยัน
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าความเพียรคือความขยัน แต่สำหรับเราคิดว่าไม่ใช่ สำหรับเรา ขยันคือทำโดยที่มีหรือไม่มีเป้าหมายก็ได้ แต่ความเพียรคือการทำจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย ไม่ล้มเลิกไปเสียก่อน แม้จะผิดพลาดหรือล้มเหลวก็ยังทำเพราะว่าใจรัก(ฉันทะ) ทำจนมันสำเร็จในที่สุด

จิตตะ = ความใส่ใจ
อาหารที่วัตถุดิบเดียวกัน วิธีทำเหมือนกันทุกอย่าง แต่ว่าอร่อยต่างกัน จริงๆ มันต่างกันตรงไหน คำตอบคือต่างกันที่ "ใจ" ที่ใส่ลงไป ลองนึกถึงอาหารที่แม่ทำให้คุณกินสิ อาหารทำง่ายๆ แบบไข่เจียว แต่สำหรับเรามันอร่อยมากแบบที่หาทานที่ร้านที่อร่อยขนาดไหนก็ไม่เหมือนกัน เพราะใจที่ใส่ลงไปตอนทำ ความรู้สึกตอนทำไม่เหมือนกัน งานก็เช่นกัน ถ้าคุณสักแต่ทำงานให้เสร็จ มันก็จะแค่ "เสร็จ" แต่หากใส่ใจลงไป นอกจากงานจะเสร็จลุล่วง งานนั้นความผิดพลาดก็น้อย คุณภาพของงานก็ดีกว่า ความภูมิใจในผลงานก็มากกว่าด้วยเช่นกัน

วิมังสา = การปรับปรุงแก้ไข
ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด ทุกคนเคยผิดพลาดกันทั้งนั้นไม่ว่าเรื่องอะไร แต่สำหรับหลายคนที่เห็นผลงานของเขาออกมาดีเป็นเพราะเขานำข้อผิดพลาดนั้นมาแก้ไขงานที่ทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป เป็นการ "เรียนรู้" จากความผิดพลาด คนที่ทำงานแล้วพลาดเรื่องเดิมซ้ำๆ นั่นเป็นเพราะไม่แก้ไขเพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่เคยเกิดเนื่องจากไม่รักในสิ่งที่ทำ(ฉันทะ)มากพอนั่นเอง

พอเข้าใจแบบนี้จะเห็นได้ว่า ฉันทะ หรือ Passion คือจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไรหากขาดความรักในงานที่ทำก็ยากที่มันจะสำเร็จได้นั่นเอง

วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ชีวิตน้อยๆ กับชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เรื่องนี้เป็นเรื่องของนกน้อยตัวหนึ่ง ชีวิตมันคงไม่ต่างจากนกตัวอื่นๆ ถ้ามันบินได้

เหตุเริ่มต้นจากการฝึกบินของเจ้านกน้อย แต่ไม่รู้บินอย่างไร  เจ้าแมวที่บ้านถึงไปลากมันเข้ามาในบ้าน ทีนี้หมาแมวในบ้านต่างก็มารุมกันใหญ่ คุณสามีเห็นเข้าก็รีบไปเจ้าตัวแสบทั้งหลายออกจากนกน้อย ด้วยความกลัวว่ามันจะบาดเจ็บคุณชายเลยรีบพามันไปหาคุณหมอ

ไปถึงคลินิก รอคิวจนได้เวลาตรวจ เรื่องที่น่าแปลกใจคือ เจ้านกน้อยไม่มีอาการเจ็บป่วยใดๆ เลย (มีแต่รอยฟันแมวนิดหน่อย คงเพราะแมวที่บ้านฟันไม่คมจึงกัดไม่เข้า) คุณหมอไม่คิดค่ารักษาแถมให้ยาบำรุงมาอีกเป็นค่ารอคิว คุณสามีก็ไปเสียสตางค์ให้มันอีกโดยการซื้อกรงและอาหาร เพราะคิดว่ากว่ามันจะแข็งแรงจนบินได้ก็คงหลายวัน

พากลับมาบ้านป้อนข้าวป้อนน้ำ ให้อยู่ในกรงใหม่เอี่ยม(กันเจ้าแสบที่บ้านโจมตีอีก เพราะสนใจกันใหญ่ มาดูเจ้านกน้อยกันตลอด) ฉันกลับมาบ้านก็ได้ป้อนข้าวและเล่นกับมันนิดหน่อยมันดูแข็งแรงร่าเริงดี ด้วยความสบายใจเราจึงไปออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำ ว่ายเสร็จกลับมาบ้านตั้งใจจะมาให้อาหารนกน้อยต่อเพราะออกไปตั้ง 2 ชั่วโมง ป่านนี้คงจะหิวแย่ ร้องดังระงมแล้วแน่นอน

เก็บของอะไรเสร็จ ฉันก็เดินมาหาเจ้านกน้อย แต่ภาพที่ฉันเห็นกลับทำให้ฉันใจเสีย ร้องเรียกสามีให้เข้ามาดูทันที เจ้านกน้อยนอนตะแคงเท้าชี้ฟ้า ปากอ้าค้าง ปีกข้างหนึ่งติดอยู่ที่พื้นกรง และไม่ขยับเขยื้อนใดๆ สามีเข้ามาดูและดึงมันออกมา เผยให้เห็นรอยผลอกที่ข้างลำตัว มีหยดเลือดตามพื้นกรง แน่นอนว่าเจ้านกน้อยได้จากพวกเราไปแล้ว

เราเอามันฝังในบริเวณบ้านและสวดมนต์ส่งวิญญาณของมันให้ไปสู่สุคติ พลันความคิดก็ผุดขึ้นมา สิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ต่อให้ช่วแยอย่างไรก็ไม่มีทางหนีพ้น ในที่นี้ก็คือความตายของนกน้อยนั่นเอง ฉันไม่รู้ว่าระหว่างที่พวกฉันไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นมันถึงไปติดที่พื้นกรงได้ แต่ถ้าเป็นนกตัวอื่นมันคงจะตายไปตั้งแต่ที่โดนแมวคาบมาแล้ว แต่ที่มันรอดมาได้คงเพราะโชคดีที่สามีของฉันไปเจอ แต่นั่นก็ไม่เพียงพอที่จะยืดชีวิตออกมันให้ยืนยาวจนแก่เฒ่าได้

ที่ฉันเขียนมาทั้งหมดนี้ไม่ได้อยากให้อยู่เฉยๆ แล้วเฝ้ามองโชคชะตาที่กระทำต่อชีวิตของเรา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลจากการกระทำในอดีตของคุณทั้งสิ้น หากคุณเชื่อเรื่องภพชาติ บางอย่างมันคงดูไม่สมเหตุสมผลในชาติปัจจุบันเพราะเป็นผลจากชาติก่อนๆ แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีใครกำหนดชีวิตเรานอกจากตัวเราเอง ขอให้ทุกคนที่ได้อ่านเรื่องนี้เชื่อมั่นในการกระทำของตนเอง และกำหนดชีวิตของเราให้ยอดเยี่ยมที่สุดนะคะ

บทเรียนจากการ DNF

DNF คือ Did not finish อันเนื่องมาจากวันนี้ไปลงแข่ง Bangsaen42 ซึ่งเป็นการวิ่งมาราธอนครั้งแรก แต่เราไม่จบการแข่งขัน เลยอยากจะเล่าข้อดีของเห...